HomeLiving Together
บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด และบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดย ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ อย่างสูงสุดควบคู่ไปกับหลักการดำเนินธุรกิจขององค์กรภายใต้แนวคิด “Green Culture” ปลูกฝังอยู่ในกิจกรรมของคนในองค์กรสื่อไปถึงตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ขององค์กร เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจข้าวครบวงจร และเกษตรอุตสาหกรรม ภายใต้กรอบวิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัยสิ่งแวดล้อม พลังงานและประสิทธิภาพ จึงกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
ความท้าทาย

ภายใต้ความท้าทายจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งบริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด และบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในการสร้างแรงผลักดันและสนับสนุนให้ทุกกลุ่มธุรกิจบริษัทฯ ที่มีความมุ่งมั่นในการพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการในการติดตามอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีส่วนร่วมในการลดผลการะทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ยึดหลักปฏิบัติตามหลักสากลที่เกี่ยวข้อง บูรณาการเข้ากับหลักการดำเนินงานธุรกิจที่ให้ความสำคัญในเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งมีการสนับสนุนกลไกลดก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐ และการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอน จากความมุ่งมั่นนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์

สนับสนุนเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน
SDG 7
พลังงานที่สะอาดและสามารถซื้อหาได้
7.2
เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการใช้พลังงานของโลก
7.3
เพิ่มอัตราการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังานของโลกให้เพิ่มขึ้น 2 เท่า
SDG 11
เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
11.6
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเขตเมือง
SDG 12
การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ
12.2
การจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ
12.3
ลดขยะเศษอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่ง
12.3
ลดการเกิดของเสียอย่างจริงจัง
SDG 13
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
13.3
การสร้างความตระหนักรู้และขีดความสามารถในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลการดำเนินงานที่สำคัญปี 2563
การบริหารจัดการและเพิ่ม
ประสิทธิภาพพลังงาน
3,532.80 ตัน CO2eq
ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปี 2558
พลังงานหมุนเวียน
32.30%
สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน
เป้าหมายปี 2563
ลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อหน่วยรายได้ร้อยละ 10 เทียบฐานปี 2558
ผลลัพธ์ปี 2563 เทียบเป้าหมาย
2560
2561
2562
2563
บรรลุตาม
เป้าหมาย2563
  • จำนวนผลิตภัณฑ์ที่มี
    การประเมิน Carbon Footprint
    2
    3
    3
    4
    100%
  • ร้อยละการลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้
    43.51
    32.54
    36.14
    100%
ข้อมูลเพื่อการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลเพื่อการจัดการพลังงาน
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลเพื่อการจัดการของเสีย
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลด้านการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ยั่งยืน
ผลการดำเนินงานปี 2563
ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตปริ้นท์ผลิตภัณฑ์
การประเมินความเสี่ยงและโอกาส
ด้านสภาพภูมิอากาศตามกรอบแนวทางของ TCFD
กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทาน กำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ครอบคลุมถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย การลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก มีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศและในอนาคตจะมีการจัดทำ Scenario Analysis ตามแนวทางของ Task Force on Climate-Related Financial Disclosure (TCFD) จัดทำแผนงานที่ครอบคลุมรอบด้าน เช่น ความเสี่ยงทั้งด้านกายภาพ เทคโนโลยี การตลาดนโยบาย และกฎข้อบังคับ ชื่อเสียงองค์กร เป็นต้น
กรอบการดำเนินงานด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การกำกับดูแล
Governance
แต่งตั้งคณะกรรมการฯ ทั้งในระดับกลุ่มธุรกิจเพื่อกำกับดูแลความเสี่ยงและโอกาสของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กลยุทธ์
Strategy
กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจในการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์และการวางแผนด้านการเงินของกลุ่มธุรกิจ
การบริหารความเสี่ยง
Risk Management
นำผลการประเมินความเสี่ยงและโอกาส และบริบทในการดำเนินธุรกิจแต่ละประเทศมาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
ตัวชี้วัดและเป้าหมาย
Metrics & Targets
กำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ใช้ สำหรับประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินของกลุ่มธุรกิจ
การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
แนวทางการบริหารจัดการ

กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างดุลยภาพด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม ความผิดชอบต่อสังคมและยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือการประเมินและให้ความสำคัญต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการดำเนินการของธุรกิจ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิตรวมทั้งกระบวนการพัฒนาธุรกิจ รับผิดชอบ ปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกสถานประกอบการ จึงได้กำหนดแนวปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมดังนี้

  1. ปฏิบัติตามกฎหมายทั้งในระดับประเทศ ระทับท้องถิ่นและมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงข้อกำหนดของลูกค้าและกฎระเบียบข้อบังคับของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
  2. ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิต เครื่องมือรวมทั้งกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆมีแนวทางการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างน้อยที่สุด
  3. กำหนดให้มีการตรวจติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติงานและดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องโดยต้องกำหนดวัตถุประสงค์เป้าหมายและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงาน
  4. สนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้โดยจัดฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อมแก่พนักงาน คู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสีย
  5. สื่อสารนโยบายและข้อกำหนดไปยังพันธมิตรและคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ส่งมอบผู้ให้บริการผู้รับเหมาและคู่ค้าธุรกิจดำเนินการตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสอดคล้องกับนโยบาย กฎระเบียบและข้อบังคับด้าน
    สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของประเทศที่ดำเนินกิจการ
  6. เปิดเผยผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณะในรายงานความยั่งยืนหรือเปิดเผยในรูปแบบอื่นๆ
  7. ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรให้ความเห็นชอบโดยลงนามอนุมัติให้ประกาศใช้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร
ความมุ่งมั่นการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ
กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศสู่ปี 2573
คุณสุเมธ เหล่าโมราพร
ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกันนี้ได้ลงนามในจดหมายแสดงความมุ่งมั่นของผู้บริหารสูงสุดต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเครือเจริญโภคภัณฑ์ สู่ปี 2573 ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และการจัดการพลังงาน
การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกิดขึ้นทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของเรามุ่งมั่นที่จะดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้สูงกว่าระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และตั้งเป้าหมายระยะยาวเพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งห่วงโซ่คุณค่าเป็นศูนย์ไม่เกินปี 2593 ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ หรือ Science Based Targets ในทุกขอบเขตที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับเกณฑ์และคำแนะนำของโครงการ Science Based Targets Initiative (SBTi) อีกทั้งมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ลงร้อยละ 10 ในปี 2563 เทียบกับปีฐาน 2558 โดยกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

แนวทางการไปสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2573

เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Organization) ภายในปี 2573 ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เครือฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การบริหารจัดการ การเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเลือกใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนการส่งเสริม โครงการปลูกป่าและเกษตรกรเพาะปลูกเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

ถุงข้าวที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ

ข้าวตราฉัตร ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ประกาศความร่วมมือยกระดับการพัฒนาถุงข้าวตราฉัตรที่นอกจากรีไซเคิลได้ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เป็นครั้งแรกของวงการข้าวถุงไทย ที่ผนึกสองผู้เชี่ยวชาญด้านแพคเกจจิ้ง ได้แก่ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) (ผู้นำด้านแมททีเรียลส์ ไซแอนซ์ ระดับโลก) และ บริษัท พรีแพค ประเทศไทย จำกัด ใน เอสซีจีพี (SCGP)
ผู้ผลิตแพคเกจจิ้งพลาสติกชนิดอ่อนตัว (Flexible Packaging) ชั้นนำของประเทศไทย ยกระดับมาตรฐานถุงข้าวสารเป็นข้าวถุงรักษ์โลก ด้วยนวัตกรรม INNATE™ และเทคนิคดาวน์ เกจจิ้ง (Down Gauging-บางลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ทั้งนี้นับเป็นแบรนด์แรกของไทย
ที่นำนวัตกรรมระดับโลกมาใช้ในการผลิตถุง เพื่อรีไซเคิลแบบครบวงจร และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน ด้วยการลดพลาสติกและพลังงานในการผลิตพร้อมวางจำหน่ายข้าวถุงรักษ์โลกในไตรมาสแรกของปี 2564 เอาใจกลุ่มผู้บริโภคที่รักสิ่งแวดล้อมทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยมีเป้าหมาย ความยั่งยืน ที่จะยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2568

คุณฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจการค้าข้าวและอาหารในประเทศและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจข้าวตราฉัตร กล่าวว่า “ด้วยยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) ทั้ง 17 ประการ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือข้าวตราฉัตร ได้นำนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้ภายในองค์กร เกิดเป็นปณิธานทั้ง 3 ข้อ ประกอบด้วยหนึ่ง-มุ่งมั่นที่จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีปัญหา หรือไม่จำเป็นภายในองค์กร สอง-เปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง สู่รูปแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ สาม-100% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้ ต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ทั้งนี้ ข้าวตราฉัตร มีเป้าหมายความยั่งยืนโดยจะยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2568 นี่จึงเป็นที่มาของการจัดงานในครั้งนี้ เพราะในอดีตถุงข้าวสารรีไซเคิลไม่ได้ จนในปัจจุบัน ถุงข้าวตราฉัตร เรามีการปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ถุงข้าวตราฉัตรสามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างสมบูรณ์ โดยตั้งเป้าพัฒนาต่อเนื่องโดยในอนาคตจะทำให้ถุงข้าวตราฉัตรมีประสิทธิภาพสูงและแข็งแรงยิ่งขึ้น ในขณะที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านการลดใช้ปริมาณพลาสติกและพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของภาวะโลกร้อนภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ เราจะพัฒนาถุงข้าวรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อวางจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเป็นแบรนด์แรกในไทย โดยผลิตถุงข้าวจากเม็ดพลาสติก INNATE™ คุณภาพสูงของ Dow ด้วยเทคนิค ดาวน์ เกจจิ้ง (Down Gauging-บางลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ทำให้ถุงข้าวสารบางลงจากเดิม 110 ไมครอน เหลือ 90 ไมครอน แต่แข็งแรง ทนทานยิ่งขึ้นกว่าเดิม สามารถทนการตกกระแทกจากความสูง 4 เมตรได้โดยไม่แตกรั่ว พร้อมระบบเก็บล็อคความสดใหม่ และกลิ่นหอมของข้าวได้ดีดังเดิม

นอกจากนี้ยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยการประหยัดปริมาณพลาสติก และลดพลังงานในกระบวนการบรรจุด้วยการใช้อุณหภูมิที่ต่ำลงในการปิดปากถุงข้าว โดยในช่วงเริ่มต้นคาดว่าจะลดปริมาณการใช้พลาสติกได้กว่า 300 ตันต่อปี ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 600 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่ากับปลูกต้นไม้กว่า 600 ไร่ และเป็นการส่งเสริมการรีไซเคิล เนื่องจากเป็นถุงฟิล์มหลายชั้นที่ผลิตจากพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดเดียวที่รีไซเคิลได้ง่าย
ในโอกาสเดียวกันนี้ยังเข้าร่วมโครงการ “มือวิเศษ x วน โดย PPP Plastics” โดยร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคนำถุงข้าวตราฉัตรมาบริจาคที่จุดดรอปพอยต์ของโครงการฯ กว่า 300 จุดทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง หรือรวบรวมส่งทางไปรษณีย์ เพื่อให้ถุงข้าวตราฉัตรเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกตกค้างในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ความท้าทาย

ภายใต้ความท้าทายจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งบริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด และบริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงในการสร้างแรงผลักดันและสนับสนุนให้ทุกกลุ่มธุรกิจบริษัทฯ ที่มีความมุ่งมั่นในการพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการในการติดตามอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีส่วนร่วมในการลดผลการะทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ยึดหลักปฏิบัติตามหลักสากลที่เกี่ยวข้อง บูรณาการเข้ากับหลักการดำเนินงานธุรกิจที่ให้ความสำคัญในเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งมีการสนับสนุนกลไกลดก๊าซเรือนกระจกของภาครัฐ และการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอน จากความมุ่งมั่นนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์

สนับสนุนเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน
SDG 7
พลังงานที่สะอาดและสามารถซื้อหาได้
7.2
เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนในการใช้พลังงานของโลก
7.3
เพิ่มอัตราการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังานของโลกให้เพิ่มขึ้น 2 เท่า
SDG 11
เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
11.6
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในเขตเมือง
SDG 12
การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ
12.2
การจัดการที่ยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ
12.3
ลดขยะเศษอาหารของโลกลงครึ่งหนึ่ง
12.3
ลดการเกิดของเสียอย่างจริงจัง
SDG 13
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
13.3
การสร้างความตระหนักรู้และขีดความสามารถในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลการดำเนินงานที่สำคัญปี 2563
การบริหารจัดการและเพิ่ม
ประสิทธิภาพพลังงาน
3,532.80 ตัน CO2eq
ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปี 2558
พลังงานหมุนเวียน
32.30%
สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน
เป้าหมายปี 2563
ลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อหน่วยรายได้ร้อยละ 10 เทียบฐานปี 2558
ผลลัพธ์ปี 2563 เทียบเป้าหมาย
2560
2561
2562
2563
บรรลุตาม
เป้าหมาย2563
  • จำนวนผลิตภัณฑ์ที่มี
    การประเมิน Carbon Footprint
    2
    3
    3
    4
    100%
  • ร้อยละการลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้
    43.51
    32.54
    36.14
    100%
ข้อมูลเพื่อการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลเพื่อการจัดการพลังงาน
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลเพื่อการจัดการของเสีย
ผลการดำเนินงานปี 2563
ข้อมูลด้านการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ยั่งยืน
ผลการดำเนินงานปี 2563
ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตปริ้นท์ผลิตภัณฑ์
การประเมินความเสี่ยงและโอกาส
ด้านสภาพภูมิอากาศตามกรอบแนวทางของ TCFD
กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทาน กำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ครอบคลุมถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสีย การลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก มีการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศและในอนาคตจะมีการจัดทำ Scenario Analysis ตามแนวทางของ Task Force on Climate-Related Financial Disclosure (TCFD) จัดทำแผนงานที่ครอบคลุมรอบด้าน เช่น ความเสี่ยงทั้งด้านกายภาพ เทคโนโลยี การตลาดนโยบาย และกฎข้อบังคับ ชื่อเสียงองค์กร เป็นต้น
กรอบการดำเนินงานด้านการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การกำกับดูแล
Governance
แต่งตั้งคณะกรรมการฯ ทั้งในระดับกลุ่มธุรกิจเพื่อกำกับดูแลความเสี่ยงและโอกาสของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กลยุทธ์
Strategy
กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจในการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์และการวางแผนด้านการเงินของกลุ่มธุรกิจ
การบริหารความเสี่ยง
Risk Management
นำผลการประเมินความเสี่ยงและโอกาส และบริบทในการดำเนินธุรกิจแต่ละประเทศมาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
ตัวชี้วัดและเป้าหมาย
Metrics & Targets
กำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ใช้ สำหรับประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สอดคล้องกับการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินของกลุ่มธุรกิจ
การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
แนวทางการบริหารจัดการ

กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างดุลยภาพด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม ความผิดชอบต่อสังคมและยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือการประเมินและให้ความสำคัญต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการดำเนินการของธุรกิจ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิตรวมทั้งกระบวนการพัฒนาธุรกิจ รับผิดชอบ ปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกสถานประกอบการ จึงได้กำหนดแนวปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมดังนี้

  1. ปฏิบัติตามกฎหมายทั้งในระดับประเทศ ระทับท้องถิ่นและมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงข้อกำหนดของลูกค้าและกฎระเบียบข้อบังคับของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์อย่างเคร่งครัด
  2. ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิต เครื่องมือรวมทั้งกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆมีแนวทางการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้างน้อยที่สุด
  3. กำหนดให้มีการตรวจติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการปฏิบัติงานและดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องโดยต้องกำหนดวัตถุประสงค์เป้าหมายและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงาน
  4. สนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้โดยจัดฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อมแก่พนักงาน คู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสีย
  5. สื่อสารนโยบายและข้อกำหนดไปยังพันธมิตรและคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ส่งมอบผู้ให้บริการผู้รับเหมาและคู่ค้าธุรกิจดำเนินการตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสอดคล้องกับนโยบาย กฎระเบียบและข้อบังคับด้าน
    สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของประเทศที่ดำเนินกิจการ
  6. เปิดเผยผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณะในรายงานความยั่งยืนหรือเปิดเผยในรูปแบบอื่นๆ
  7. ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรให้ความเห็นชอบโดยลงนามอนุมัติให้ประกาศใช้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร
ความมุ่งมั่นการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ
กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศสู่ปี 2573
คุณสุเมธ เหล่าโมราพร
ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของเครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมกันนี้ได้ลงนามในจดหมายแสดงความมุ่งมั่นของผู้บริหารสูงสุดต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเครือเจริญโภคภัณฑ์ สู่ปี 2573 ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และการจัดการพลังงาน
การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงความเร่งด่วนในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกิดขึ้นทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของเรามุ่งมั่นที่จะดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้สูงกว่าระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และตั้งเป้าหมายระยะยาวเพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งห่วงโซ่คุณค่าเป็นศูนย์ไม่เกินปี 2593 ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ หรือ Science Based Targets ในทุกขอบเขตที่เกี่ยวข้อง และสอดคล้องกับเกณฑ์และคำแนะนำของโครงการ Science Based Targets Initiative (SBTi) อีกทั้งมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยรายได้ลงร้อยละ 10 ในปี 2563 เทียบกับปีฐาน 2558 โดยกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

แนวทางการไปสู่องค์กรที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2573

เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Carbon Neutral Organization) ภายในปี 2573 ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เครือฯ จึงมุ่งเน้นการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การบริหารจัดการ การเลือกใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเลือกใช้พลังงานสะอาด ตลอดจนการส่งเสริม โครงการปลูกป่าและเกษตรกรเพาะปลูกเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

ถุงข้าวที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ

ข้าวตราฉัตร ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ประกาศความร่วมมือยกระดับการพัฒนาถุงข้าวตราฉัตรที่นอกจากรีไซเคิลได้ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เป็นครั้งแรกของวงการข้าวถุงไทย ที่ผนึกสองผู้เชี่ยวชาญด้านแพคเกจจิ้ง ได้แก่ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) (ผู้นำด้านแมททีเรียลส์ ไซแอนซ์ ระดับโลก) และ บริษัท พรีแพค ประเทศไทย จำกัด ใน เอสซีจีพี (SCGP)
ผู้ผลิตแพคเกจจิ้งพลาสติกชนิดอ่อนตัว (Flexible Packaging) ชั้นนำของประเทศไทย ยกระดับมาตรฐานถุงข้าวสารเป็นข้าวถุงรักษ์โลก ด้วยนวัตกรรม INNATE™ และเทคนิคดาวน์ เกจจิ้ง (Down Gauging-บางลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ทั้งนี้นับเป็นแบรนด์แรกของไทย
ที่นำนวัตกรรมระดับโลกมาใช้ในการผลิตถุง เพื่อรีไซเคิลแบบครบวงจร และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน ด้วยการลดพลาสติกและพลังงานในการผลิตพร้อมวางจำหน่ายข้าวถุงรักษ์โลกในไตรมาสแรกของปี 2564 เอาใจกลุ่มผู้บริโภคที่รักสิ่งแวดล้อมทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยมีเป้าหมาย ความยั่งยืน ที่จะยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2568

คุณฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจการค้าข้าวและอาหารในประเทศและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจข้าวตราฉัตร กล่าวว่า “ด้วยยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) ทั้ง 17 ประการ กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือข้าวตราฉัตร ได้นำนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้ภายในองค์กร เกิดเป็นปณิธานทั้ง 3 ข้อ ประกอบด้วยหนึ่ง-มุ่งมั่นที่จะยกเลิกการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีปัญหา หรือไม่จำเป็นภายในองค์กร สอง-เปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง สู่รูปแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ สาม-100% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้ ต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

ทั้งนี้ ข้าวตราฉัตร มีเป้าหมายความยั่งยืนโดยจะยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ภายในปี 2568 นี่จึงเป็นที่มาของการจัดงานในครั้งนี้ เพราะในอดีตถุงข้าวสารรีไซเคิลไม่ได้ จนในปัจจุบัน ถุงข้าวตราฉัตร เรามีการปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ถุงข้าวตราฉัตรสามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างสมบูรณ์ โดยตั้งเป้าพัฒนาต่อเนื่องโดยในอนาคตจะทำให้ถุงข้าวตราฉัตรมีประสิทธิภาพสูงและแข็งแรงยิ่งขึ้น ในขณะที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านการลดใช้ปริมาณพลาสติกและพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของภาวะโลกร้อนภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ เราจะพัฒนาถุงข้าวรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อวางจำหน่ายในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเป็นแบรนด์แรกในไทย โดยผลิตถุงข้าวจากเม็ดพลาสติก INNATE™ คุณภาพสูงของ Dow ด้วยเทคนิค ดาวน์ เกจจิ้ง (Down Gauging-บางลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น) ทำให้ถุงข้าวสารบางลงจากเดิม 110 ไมครอน เหลือ 90 ไมครอน แต่แข็งแรง ทนทานยิ่งขึ้นกว่าเดิม สามารถทนการตกกระแทกจากความสูง 4 เมตรได้โดยไม่แตกรั่ว พร้อมระบบเก็บล็อคความสดใหม่ และกลิ่นหอมของข้าวได้ดีดังเดิม

นอกจากนี้ยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วยการประหยัดปริมาณพลาสติก และลดพลังงานในกระบวนการบรรจุด้วยการใช้อุณหภูมิที่ต่ำลงในการปิดปากถุงข้าว โดยในช่วงเริ่มต้นคาดว่าจะลดปริมาณการใช้พลาสติกได้กว่า 300 ตันต่อปี ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 600 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่ากับปลูกต้นไม้กว่า 600 ไร่ และเป็นการส่งเสริมการรีไซเคิล เนื่องจากเป็นถุงฟิล์มหลายชั้นที่ผลิตจากพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดเดียวที่รีไซเคิลได้ง่าย
ในโอกาสเดียวกันนี้ยังเข้าร่วมโครงการ “มือวิเศษ x วน โดย PPP Plastics” โดยร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคนำถุงข้าวตราฉัตรมาบริจาคที่จุดดรอปพอยต์ของโครงการฯ กว่า 300 จุดทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง หรือรวบรวมส่งทางไปรษณีย์ เพื่อให้ถุงข้าวตราฉัตรเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกตกค้างในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

กลับไป
ด้านบน
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ

HOME : LIVING TOGETHER
ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน